
ตกขาว คันที่ช่องคลอด
ตกขาว คันที่ช่องคลอด – ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลกันของแบคทีเรียชนิดที่ดีและไม่ดีซึ่งอยู่ภายในช่องคลอด โดยอาการที่พบได้บ่อย คือ คันบริเวณช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจมีลักษณะบาง เป็นสีขาว เทาขุ่น หรือเป็นฟอง
การติดเชื้อรา เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อราในช่องคลอดที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการคัน รู้สึกแสบร้อน และอาจมีตกขาวลักษณะเป็นก้อนไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน เพราะยาดังกล่าวจะทำลายแบคทีเรียชนิดที่ดีที่ช่วยควบคุมจำนวนของเชื้อราในช่องคลอด
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันอาจเสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) หนองในแท้ หนองในเทียม หูด หรือเริมที่อวัยวะเพศ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันช่องคลอด และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตกขาวมีสีเหลืองหรือสีเขียว รู้สึกปวดแสบขณะปัสสาวะ เป็นต้น
มะเร็งปากช่องคลอด อาการคันช่องคลอดอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งปากช่องคลอดได้ ซึ่งบางรายอาจไม่ปรากฏอาการใดๆ เลย แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคมะเร็งปากช่องคลอดอาจมีอาการคันช่องคลอด มีเลือดออก และรู้สึกเจ็บบริเวณปากช่องคลอด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ขณะที่มะเร็งยังไม่ลุกลาม ก็อาจรักษาให้หายขาดได้
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
การโกนขนบริเวณจุดซ่อนเร้น การกำจัดขนด้วยวิธีการโกนบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจทำให้รู้สึกคันเมื่อขนเริ่มงอกใหม่อีกครั้ง โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาปัญหาจากการกำจัดขนบริเวณอวัยวะเพศพบว่า ผู้หญิงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกคันอย่างรุนแรงหลังจากการโกนขนออก ทั้งนี้ อาจใช้วิธีกำจัดขนด้วยการเล็มหรือแวกซ์ขนแทน เพื่อป้องกันอาการคันบริเวณช่องคลอด
การใช้สารเคมี สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอาจทำให้ช่องคลอดเกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้คันบริเวณช่องคลอดได้ เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น หรือกระดาษชำระ เป็นต้น
ความเครียด แม้ว่าจะเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย แต่ภาวะเครียดอาจทำให้เกิดอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดได้เช่นกัน เนื่องจากความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อและอาการคันได้ง่ายขึ้น
การทำกิจกรรรมต่างๆ กิจกรรมบางอย่างก็อาจทำให้เกิดอาการคันช่องคลอดได้ เช่น ปั่นจักรยาน ขี่ม้า หรือสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่รัดเกินไป เป็นต้น
บรรเทาอาการคันช่องคลอดด้วยตัวเองอย่างไร
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและดูแลสุขอนามัยของตนให้ดี อาจช่วยป้องกันและบรรเทาอาการคันช่องคลอดได้ ดังนี้
1.เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกหลังว่ายน้ำหรือออกกำลังกายทันที
2.เปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน และไม่ใส่เสื้อผ้าที่คับแน่นเกินไป
3.เช็ดทำความสะอาดหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ จากด้านหน้าไปหลังเท่านั้น
4.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าอาการคันช่องคลอดจะดีขึ้น
5.หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัย กระดาษชำระ สบู่ ครีมบำรุงผิว หรือโฟมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
6.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เช่น สเปรย์ หรืออุปกรณ์สวนล้างช่องคลอด เป็นต้น
7.ห้ามเกาผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้น เพราะอาจทำให้การระคายเคืองรุนแรงขึ้นได้
8.หากมีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4-5 ชั่วโมง
โรคเชื้อราในช่องคลอด
และหนึ่งในสาเหตุหลักที่มักทำให้เกิดอาการคันบริเวณช่องคลอด หรือคันในช่องคลอด ก็คือ การเป็น โรคเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อราภายในช่องคลอดหรือบริเวณปากช่องคลอด ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการคันอย่างรุนแรง
อาการของโรคเชื้อราในช่องคลอด
โรคเชื้อราในช่องคลอดส่วนใหญ่ส่งผลให้เกิดอาการได้ตั้งแต่เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่บางคนอาจไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ แม้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย เช่น
- เกิดอาการคันอย่างรุนแรงและระคายเคืองที่ปากช่องคลอด หรือภายในช่องคลอด
- มีอาการแสบร้อน โดยเฉพาะในขณะมีเพศสัมพันธ์หรือการปัสสาวะ
- ตกขาวผิดปกติ อาจมีลักษณะสีขาวข้นคล้ายนมบูด เป็นน้ำใส หรือขาวข้นจับตัวเป็นก้อน
- บริเวณปากช่องคลอดมีอาการบวม แดง
- เกิดผื่นแดงทั้งภายในและภายนอกช่องคลอด อาจเกิดการกระจายไปทั่วบริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศ หรือต้นขา
ผู้ป่วยจะมีอาการเหล่านี้ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงเป็นสัปดาห์ หรืออาจนานเป็นเดือนในบางราย แต่พบได้ค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ยังพบว่าบางรายอาจมีอาการของโรคกลับเป็นซ้ำในช่วงก่อนมีประจำเดือน และอาจเป็นมากขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม ควรรีบพบแพทย์ หากเป็นการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นครั้งแรก อาการที่เป็นอยู่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยารักษา หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย โดยอาการอาจรุนแรงมากขึ้นหากไม่รีบรักษา ซึ่งสังเกตได้จากบริเวณที่เกิดการติดเชื้อมีอาการบวม แดง และคันอย่างรุนแรงมากขึ้น จนทำให้เกิดรอยแตกเป็นแผล มีอาการเจ็บหรือปวด ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการติดเชื้อราในช่องคลอดบ่อยมากกว่าปกติ หรือมากกว่า 4 ครั้งต่อปี
สาเหตุของโรคเชื้อราในช่องคลอด
โรคเชื้อราในช่องคลอดเกิดจากการเพิ่มจำนวนเชื้อรามากกว่าปกติภายในช่องคลอด จนทำให้สภาพภายในช่องคลอดเสียสมดุล โดยปกติเชื้อราเหล่านี้มักอาศัยอยู่ตามช่องปาก อวัยวะเพศ ระบบทางเดินอาหาร หรือบนผิวหนังของคนเราในปริมาณน้อยและไม่ก่อให้เกิดโรค แต่เมื่อเชื้อราเหล่านี้มีปริมาณมากขึ้นจึงพัฒนาให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้ เชื้อราที่ทำให้เกิดการติดเชื้ออาจเกิดได้จากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่พบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในช่องคลอดได้มากที่สุดมีชื่อว่า แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida Albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราในกลุ่ม แคนดิดา (Candida) ส่วนเชื้อราสายพันธุ์อื่นที่พบได้ไม่บ่อยอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงได้มากขึ้น และต้องอาศัยการรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น
การเพิ่มจำนวนเชื้อราอย่างรวดเร็วมาจากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ซึ่งจะไปลดปริมาณแบคทีเรีย แลคโตบาซิลลัส และทำให้ค่าความเป็นกรดด่างภายในช่องคลอดเสียสมดุล
- การตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้
- สภาวะของร่างกายที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
- เป็นโรคทางผิวหนังอื่นๆ นำมาก่อน เช่น โรคสะเก็ดเงินโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังอื่นๆ
- การรับประทานยาบางประเภท
- มีภาวะโรคอ้วน
- การรักษาด้วยวิธีฮอร์โมนบำบัด หรือการรับประทานยาคุมกำเนิดในปริมาณสูง ซึ่งจะไปเพิ่มระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน
- การสวนล้างช่องคลอด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยบริเวณช่องคลอดบ่อยๆ อาจทำให้เสียสมดุลภายในช่องคลอด
การเกิดการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นปัญหาที่พบมากในผู้หญิง โดยผู้หญิงทุก 3 ใน 4 คน เคยเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอดอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต นอกจากนี้ การติดเชื้อราในช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงก่อนการมีประจำเดือน หรือบางรายอาจเกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์ แต่ตัวโรคยังไม่จัดว่าเป็นโรคติดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อไปสู่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย รวมไปถึงผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็อาจมีโอกาสในการพัฒนาโรคให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน
การวินิจฉัยโรคเชื้อราในช่องคลอด
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเชื้อราในช่องคลอดได้ตามขั้นตอนดังนี้
- สอบถามข้อมูลและประวัติทางการแพทย์ในขั้นแรกจะมีการสอบถามข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วย อาการผิดปกติที่พบ ลักษณะของตกขาว เคยมีประวัติเกิดการติดเชื้อราหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือไม่
- การตรวจภายในแพทย์จะตรวจดูลักษณะภายนอกของอวัยวะเพศและบริเวณรอบๆ เพื่อหาความผิดปกติที่บ่งบอกว่าเกิดการติดเชื้อ ซึ่งบางรายสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่การสังเกตดูลักษณะภายนอก แต่ในบางรายแพทย์อาจจะต้องตรวจหาความผิดปกติจากภายในช่องคลอดอีกครั้ง ด้วยการสอดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่าปากเป็ดเข้าไปภายในช่องคลอด เพื่อเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งหรือตกขาวออกมาตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
- การตรวจตัวอย่างสารคัดหลั่งมักจะใช้ในกรณีตรวจวินิจฉัยผู้ที่เกิดการติดเชื้อบ่อยๆ หรืออาการของโรคไม่ดีขึ้น โดยแพทย์จะนำตัวอย่างที่เก็บได้ภายในช่องคลอดออกมาตรวจหาประเภทเชื้อราที่ทำให้เกิดอาการของโรค ซึ่งจะช่วยให้แพทย์หาวิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีการกลับมาของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาการแบบใดที่ควรไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการคันช่องคลอดจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่หากมีอาการต่อไปนี้เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- มีแผลบริเวณช่องคลอด
- มีปัญหาในการปัสสาวะ
- มีตกขาวลักษณะผิดปกติออกมาจากช่องคลอด
- มีอาการบวมหรือแดงบริเวณจุดซ่อนเร้น
- รู้สึกเจ็บหรือคัดตึงบริเวณจุดซ่อนเร้น
- รู้สึกไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์
การรักษาโรคเชื้อราในช่องคลอด
โรคเชื้อราในช่องคลอด สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drug) เป็นหลัก โดยรูปแบบของยาอาจจะมีทั้งแบบครีม ขี้ผึ้ง ยาเหน็บ หรือยารับประทาน เช่น ยาโคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ยาไมโคโนโซล (Miconazole) ยาไทโอโคนาโซล (Tioconazole) ยาบูโตโคนาโซล (Butoconazole) ยาฟลูโคนาโซล (Fluconazole) หรือยากรดบอริก (Boric acid) ซึ่งการเลือกใช้ยาควรต้องมีการพิจารณาระดับความรุนแรงของโรคและประเภทของเชื้อราที่ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นด้วย ส่วนระยะเวลาในการใช้ยาจะแตกต่างกันไปตามความแรงของยาและการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไม่รุนแรงสามารถซื้อยาต้านเชื้อราที่ขายทั่วไป ควบคู่กับการดูแลตนเองได้จากที่บ้าน โดย
- ผู้ป่วยที่ใช้ยารักษาเชื้อราทาช่องคลอดในช่วงที่มีประจำเดือน ควรเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบแผ่นแทนการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดเป็นประจำ แต่ควรใช้น้ำสะอาดทำความสะอาดแทน
- ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจส่งผลให้อาการติดเชื้อแย่ลง
- หากมีความรู้สึกเจ็บในขณะมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยลดการระคายเคือง
- หากบริเวณอวัยวะเพศมีอาการบวมและเจ็บ ไม่ควรเกาหรือถูแรงๆ แต่อาจนั่งแช่น้ำอุ่น เพื่อช่วยบรรเทาอาการ หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการซื้อยามาใช้เองควรปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง ก่อนการใช้ยาควรศึกษาวิธีอย่างละเอียดและควรใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนครบปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรหยุดใช้ยาอย่างกะทันหัน แม้ว่ามีอาการดีขึ้น รวมไปถึงควรระมัดระวังการใช้ยาบางประเภทที่ยังไม่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์อย่างชัดเจนว่ามีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อรา เช่น การทาน้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil) บริเวณช่องคลอด หรือการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกระเทียม เนื่องจากอาจส่งผลให้อาการติดเชื้อแย่ลงได้
แต่ในกรณีที่อาการมีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้เกิดอาการปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ผู้ป่วยอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ เป็นอาการติดเชื้อครั้งแรก เกิดอาการแพ้ อาการของโรคไม่ดีขึ้น หรือมีความกังวลว่าอาการที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ควรเข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจยืนยันผล และรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ซึ่งอาจต้องมีการใช้ยารักษาในปริมาณที่สูงขึ้น และรักษานานต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยป้องกันการกลับมาของโรค อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งภายในระยะเวลา 2 เดือน หลังอาการหายขาด อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกจากโรคอื่นได้
การป้องกันโรคเชื้อราในช่องคลอด
การติดเชื้อราในช่องคลอดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ในบางกรณีบอกได้ยากว่าเกิดมาจากสาเหตุใด เพราะแต่ละบุคคลก็มีปัจจัยความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป การป้องกันโรคจึงเป็นการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัย เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดของโรคตามคำแนะนำต่อไปนี้
- เลือกสวมใส่กระโปรง กางเกง หรือกางเกงชั้นที่ไม่รัดแน่นมากเกินไป รวมไปถึงเลือกเนื้อผ้าจากเส้นใยธรรมชาติที่มีการถ่ายเทของอากาศได้ดี ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดความอับชื้นจนเพิ่มจำนวนเชื้อราขึ้นได้โดยง่าย
- ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีความอับชื้นเป็นเวลานาน ควรรีบเปลี่ยนชุดออกทันที เช่น ชุดว่ายน้ำ ชุดออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น หรือการสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินความจำเป็น
- ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีความจำเป็น
- ในช่วงมีประจำเดือนควรมีการเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผ้าอนามัยแบบสอด เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งอับชื้นที่เป็นที่อยู่ของเชื้อรามากขึ้น
ปัญหาจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงเอเชีย 80% ที่พบบ่อยที่สุด
– มีอาการคัน และระคายเคืองที่ช่องคลอดหรือบริเวณปากช่องคลอด
– อาการคัน จากการติดเชื้อราภายในช่องคลอด
– การติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
– ตกขาวผิดปกติ ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
– ตกขาวผิดปกติ อาจมีลักษณะสีขาวข้นคล้ายนมบูด เป็นน้ำใส หรือขาวข้นจับตัวเป็นก้อน
– ช่องคลอดเสียสมดุลภายใน เนื่องจากภาวะต่างๆในการใช้ชีวิตประจำวัน
– ช่องคลอดติดเชื้อเนื่องจากการใช้ยาปฎิชีวนะ เป็นสาเหตุทำลายแบคทีเรียท้องถิ่นที่จำเป็นด้วย
สมุนไพรแก้ตกขาว ที่สามารถช่วยคุณได้
สมุนไพรแก้ตกขาว เป็นหนึ่งในกลุ่มสมุนไพรที่พบมากเป็นอับดับแรกๆ ซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ สำหรับบทความนี้เราได้รวบรวมมาฝากนับสิบชนิด ดังต่อไปนี้
1.ถั่วเหลือง ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิง ฟื้นฟูผิวพรรณให้สดใส เต่งตึงอ่อนกว่าวัยอีกครั้ง
2.ว่านหางจระเข้ ช่วยทำให้ช่องคลอดไม่แห้ง เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดและวัยทอง
3.ซิงค์ เสริมธาตุเหล็กต่อการสร้างเม็ดเลือด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
4.พริกไทยดำ กระชับมดลูก ฟื้นฟูความเสียหาย ของเซลล์ในร่างกาย
5.ตังกุย ลดอาการตกขาว แก้ไขปัญหาตกขาวผิดปกติ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
ตัวช่วยง่ายๆสำหรับผู้ที่มีตกขาวเยอะกับผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ
เพราะเราเข้าใจ ถึงปัญหาภายใน สุดลับของผู้หญิง ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเจอกับปัญหา ช่องคลอดไม่กระชับ มีกลิ่นน้องสาว จนสามีเมิน ทำให้เกิดปัญหา เรื่องบนเตียง รวมไปถึงอาการตกขาว ที่มาไม่ปกติ และทรมานกับ อาการปวดท้อง ประจำเดือน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ได้ง่าย เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย เราจึงได้คิดค้น สูตรอาหารเสริมมา เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้น จนได้สูตรสมุนไพร 5 ชนิด ที่ช่วยกระชับ ช่องคลอด ลดตกขาว ลดอาการปวดท้อง ประจำเดือน พร้อมปรับสมดุล ของฮอร์โมน คืนความสาว ความอ่อนเยาว์ ให้คุณใหม่ อีกครั้ง
-ความกระชับ ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกบีบตัวได้ดี เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
-ปรับสมดุลฮอร์โมน ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนผู้หญิง โดยเฉพาะวัยทอง และคุณแม่หลังคลอดหรือกำลังให้นมบุตร
-ลดอาการปวดท้องประจำเดือนและการตกขาว ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้เป็นอย่าง
ดีและลดตกขาวผิดปกติ ตกขาวสีเขียว สีเหลืองปนเลือด พร้อมลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
-ผิวพรรณ ช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส ดูสุขภาพดี ผิวเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย ลดริ้วรอยก่อนวัย
วิธีการทาน Dong-Hee เพื่อสุขภาพภายในที่ดีจนคุณรู้สึกได้
*** เพียงทานวันละ 2 เม็ด ก่อนนอน ตอนท้องว่างเพื่อการดูดซึมที่ดีของสมุนไพร
สามารถทานต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันได้ไม่เป็นอันตราย
ปริมาณ 15 แคปซูล ต่อหนึ่งซอง
เลขที่จดแจ้ง 1-5499-00494-42-7 ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายแน่นอน
ติดต่อสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Dong Hee ดงฮี ตกขาว
หรือ Line @dong-hee
กลับสู่หน้าหลัก ตกขาว
Recent Comments